เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"อธิบดีกรมชลประทาน" สั่งเร่งช่วยเหลือเกษตรกรเขาจ้าว หลังประสบภัยแล้งอย่างหนัก


6 มิ.ย. 2566, 20:26



"อธิบดีกรมชลประทาน" สั่งเร่งช่วยเหลือเกษตรกรเขาจ้าว หลังประสบภัยแล้งอย่างหนัก




วันที่ 6 มิ.ย.66 จากกรณีเกิดปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน ประกอบกับมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัดทำให้น้ำในลำคลองพื้นที่ตำบลเขาจ้าว อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของอ่างเก็บน้ำเขื่อนปราณบุรี มีสภาพที่แห้งคอร์ด สายน้ำขาดเป็นช่วงๆ ส่งผลทำให้เกษตรกรพื้นที่ตำบลเขาจ้าว และใกล้เคียงที่อาศัยน้ำในลำคลองสายนี้ยังชีพ และประกอบอาชีพทำการเกษตรได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่น ขนุน ทุเรียน เงาะ สับปะรด และพืชสวนการเกษตรอื่นๆ ได้รับความเสียหายยืนต้นตาย ดอก และผลร่วง ได้รับความเสียหายจำนวนมาก หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถใช้งบประมาณภัยแล้งเข้าช่วยเหลือเกษตรกรได้ เนื่องจากทางจังหวัดประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ เพียง 2 อำเภอ คือ อำเภอหัวหิน และอำเภอบางสะพาน ล่าสุดอธิบดีกรมชลประธาน นายประพิศ จันทร์มา ได้สั่งด่วนให้สำนักงานชลประทานที่ 14 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปราณบุรี ส่วนบริหารเครื่องจักรกลที่ 7 สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน นำรถแบคโฮ จำนวน 4 คัน และรถบรรทุกน้ำอีกจำนวน 5 คัน เข้าร่วมกับ อบต.เขาจ้าว และฝ่ายปกครองเร่งให้การช่วยเหลือเกษตรกรตำบลเขาจ้าวเป็นการด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนป้องกันความเสียหายขยายเป็นวงกว้าง

จากการรายงานสถานการณ์ภัยแล้งของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2566 ของกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ระบุว่าพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินกรณีภัยแล้งในพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อำเภอบางสะพาน และอำเภอหัวหิน รวม 8 ตำบล 80 หมู่บ้าน ประชาชน 13777 ครัวเรือน 33110 คน ด้านการเกษตรพืชไร่ พืชผัก พืชสวน 5559 ไร่ ส่วนในพื้นที่ตำบลอื่นๆ ของอำเภอหัวหิน และอำเภอบางสะพาน เช่น ตำบลบึงนคร 12 หมู่บ้าน และอำเภอบางสะพาน ที่ขาดแคลนน้ำการเกษตร 3 ตำบล คือ ตำบลกำเนิดนพคุณ 2 หมู่บ้าน ตำบลธงชัย 7 หมู่บ้าน ตำบลชัยเกษม 8 หมู่บ้าน อยู่ระหว่างการขอประกาศเพิ่ม

 

 

 

 



นายเฉลิมไชย แก้วกระจ่าง รองนายก อบต.เขาจ้าว เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่ตำบลเขาจ้าวประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานมากทำให้น้ำในลำคลอง ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของอ่างเก็บน้ำเขื่อนปราณบุรี มีสภาพตื้นเขินรวมไปถึงสระน้ำสำรองของเกษตรกรในไร่สวนและของหมู่บ้านแห้งขอดส่งผลทำให้เกษตรกรพืชไร่ พืชสวน เช่น ขนุน ทุเรียน ฯลฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะทุเรียนเขาจ้าวซึ่งเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของอำเภอปราณบุรี ยืนต้นตาย เหี่ยวเฉา และมีการทิ้งลูกได้รับความเสียหายจำนวนหลายราย จึงได้มีการประชุมหารือ และได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปที่นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี จึงได้มีการร้องขอ ไปยังหน่วยงานกรมชลประทานซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบขอให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้กับชาวบ้าน โดยได้มีการจัดส่งรถแบคโฮและรถบรรทุกน้ำเข้ามาขุดแหล่งน้ำ และบรรทุกน้ำไปเติมให้กับบ่อน้ำสำรองของหมู่บ้าน วัด โรงเรียน สถานีอนามัย เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น โอกาสนี้ขอขอบคุณนายอำเภอปราณบุรี หน่วยงานของกรมชลประทานทุกหน่วยที่เข้ามาให้การช่วยเหลือ ส่วนชาวบ้านคนใดที่ต้องการนำรถแบคโฮเข้ามาขุดสร้างแหล่งน้ำของตัวเองขอให้ไปยื่นคำร้องที่ อบต.ก่อนที่จะขุด และห้ามเคลื่อนย้ายดินไปที่อื่นโดยทาง อบต.จะได้ทำหนังสือขออนุญาตไปยังชลประทาน เพื่ออนุญาตเป็นรายบุคคลต่อไป

 

 

 

 


นายวิรัตน์ นิลมาศ อายุ 54 ปี เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนบ้านวังปลา หมู่ 2 ตำบลเขาจ้าว อำเภอปราณบุรี เปิดเผยว่า ตนเองทำสวนทุเรียน ประมาณ 17 ไร่ มีต้นทุเรียน 800 กว่าต้น เงาะ 70 ต้น ซึ่งปลูกมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว และกำลังออกผลผลิต เดิมทีทุเรียนในส่วนของตนออกผลประมาณ 5,000 กว่าลูก แต่ในปัจจุบันขณะนี้ประสบภัยแล้งอย่างหนักขาดแคลนน้ำที่จะใช้รดต้นทุเรียน จึงทำให้ผลทุเรียนร่วงเสียหายเหลือเพียง 100 กว่าลูก บางส่วนยืนต้นตาย ใบแห้ง เนื่องจากน้ำในลำคลองแห้งขอดจนทำให้เส้นทางน้ำสายหลักอยู่ไกลประมาณ 2 กิโลเมตร ต้องใช้งบประมาณในการซื้อท่อ PVC ต่อเครื่องสูบน้ำ 3 ตัว เพื่อดูดส่งน้ำมารดยังสวนทุเรียน ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง วันละกว่า 1,000 บาท และน้ำมันมีราคาแพง จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในช่วงหน้าแล้ง อย่างไรก็ดีต้องขอขอบคุณทาง อบต.เขาจ้าว และหน่วยงานกรมชลประทานที่เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างน้อยขอให้ได้มีน้ำรดประทังต้นทุเรียนไว้ยังดีกว่าปล่อยให้ต้นตาย

 

 

 

 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.