เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"หมอสันต์" เสนอนายกฯ เลิก "คุมโควิด-19ระบาด" ให้ปล่อยคนติดโอไปเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี


6 เม.ย. 2565, 13:50



"หมอสันต์" เสนอนายกฯ เลิก "คุมโควิด-19ระบาด" ให้ปล่อยคนติดโอไปเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี




เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 65 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์ ระบุหัวข้อ หมอสันต์เสนอลุงตู่ให้เลิก "คุมโควิด" ว่า เมื่อคืนก่อนผมไปงานเลี้ยง ได้พบปะกับทูตของประเทศต่าง ๆ หลายท่าน ได้คุยกับทูตบางประเทศนานเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทูตประเทศจากอัฟริกา ซึ่งผมพยายามเลียบเคียงถามถึงสถานการณ์โรคโควิดที่นั่น 

ประเด็นคือ ผมอยากรู้คือที่สื่อตะวันตกตั้งแง่ว่า รัฐบาลของประเทศในอัฟริกา รวมทั้งเคนยาและอูกันดา ปิดข่าวเรื่องการตายของผู้ป่วยโควิด ทำให้สถิติดูดีกว่าความเป็นจริงนั้น ของจริงมันเป็นอย่างไร ท่านทูตบอกว่าโรคโควิดที่นั่นมันสงบแล้วจริง ๆ และการตายของผู้คนก็มีน้อยมากจนสัมผัสไม่ได้ 
 
"หมอสันต์" ระบุว่า ข้อมูลนี้สอดคล้องกับที่ผมเคยได้ฟังคำสัมภาษณ์ของ Dr. Thierno Balde’ แพทย์ของ WHO ที่ดูแลเรื่องโรคโควิดในอัฟริกา ได้เล่าว่าตัวเขาเอง โดยหน้าที่ต้องเดินทางไปทั่วทุกหัวระแหงของอัฟริกา ทั้งบ้านเล็กเมืองน้อย เขาไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ว่าจะมีการตายของผู้คนมาก หรือมีงานศพอะไรมากมายเป็นพิเศษ เหมือนอย่างช่วงโรคเอดส์ระบาดใหม่ ๆ ไม่มีเลย 

ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอูกันดา นับถึงวันนี้มีอยู่ว่า ทั้งประเทศตรวจคัดกรองไปแล้ว 2,552,614 คน ติดเชื้อสะสม 163,878 คน ตายสะสม 3,595 คน (2.1%) เกือบทั้งหมด เป็นการตายช่วงเดลตาระบาด ฉีดวัคซีนไปแล้ว 10,048,279 โดส (ประชากร 45.7 ล้าน) มาถึงตอนนี้เคสสงบจากเวฟใหญ่แล้ว มีติดเชื้อเพิ่มเฉลี่ยวันละ 9 คน ยังอยู่ในไอซียู 2 คน ไม่มีคนตาย

ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยหนึ่ง ซึ่งสนับสนุนทางการเงินโดย WHO และรัฐบาลเยอรมัน เพิ่งเปิดเผยไม่กี่วันมานี้ เป็นงานวิจัยเมตาอานาไลซีส ที่รวบรวมการเจาะเลือดสุ่มตรวจภูมิคุ้มกันโควิดของผู้ป่วยที่ทำวิจัยในประเทศต่าง ๆ ทั่วอัฟริกา ซึ่งได้ผลว่า ภูมิคุ้มกันที่ตรวจได้ในเลือดของชาวอัฟริกาที่สุ่มตรวจทั้งทวีป ได้เพิ่มจาก 3.0% ในกลางปี 2020 มาเป็น 65.1 % ในปลายปี 2021 นั่นหมายความว่า โรคได้กวาดไปทั่วทวีปจนจบลงไปแล้ว โดยที่มีการล้มตายน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่อัตราการได้วัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มของอัฟริกาต่ำเพียง 14% อะไรทำให้ได้ภูมิคุ้มกันมากโดยคนตายน้อย และลงทุนน้อย ทำไมอินเดียตายกันมากกว่าล้านคน หรือว่าเป็นเพราะช่วงเวลาที่โรคกวาดผ่านไปนั้น มันต่างกัน อินเดียเจอโรคตอนเดลตากำลังขึ้น แต่อัฟริกาเจอเอาตอนโอไมครอนมาแทนเดลตา



ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ในการจะบริหารสถานการณ์โควิดของเมืองไทยเรานี้ เราจะหลับหูหลับตาไม่เรียนรู้จากอัฟริกาไม่ได้เลย ยุทธศาสตร์เดิม ๆ ของเราตอนนี้คือ
 
(1) มุ่งฉีดวัคซีนเข็มสามให้ครอบคลุม 
(2) มุ่งฉีดวัคซีนเด็กให้ครอบคลุม 
(3) ชลอการระบาดของโรคออกไปให้ได้นานที่สุดด้วยคอนเซ็พท์ที่จะสงวนเดียงในโรงพยาบาลไว้ 
(4) หวังกับการฉีดวัคซีนเข็ม 4, 5, 6…. ว่ามันจะป้องกันคนส่วนใหญ่ไว้ไม่ให้ติดเชื้อตลอดไป 

ผมเขียนบทความนี้เพื่อจะบอกแก่รัฐบาลลุงตู่ว่า ยุทธศาสตร์ที่เรากำลังใช้อยู่ทั้งสี่อย่างนี้ จะพาเราไปสู่ทางตัน และจะยิ่งมีปัญหาหากมีสายพันธ์อื่นที่รุนแรงกว่ามาแทนโอไมครอน เพราะ

ประเด็นที่ 1. หากเราเรียนรู้จากอัฟริกา เราไม่ควรพลาดโอกาสใช้โอไมครอนในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้คนทั่วไป เพราะงานวิจัยพบว่า วัคซีนที่เราลงทุนฉีดไปแล้ว ภูมิคุ้มกันมันจะคงอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วมันก็จะค่อย ๆ แผ่วลง นาทีทองมีอยู่แค่ไม่กี่เดือนจากนี้ไปเท่านั้น ดังนั้น เราควรจะยกเลิกการกักกันโรคเสีย เปลี่ยนมาจัดการโรคแบบเปิดให้ประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้วได้ติดเชื้อโอไมครอนเสียตอนที่วัคซีนที่เราเพิ่งลงทุนฉีดไปยังช่วยลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการตายได้อยู่นี้

ประเด็นที่ 2. ในแง่การควบคุมโรคระยะยาว การติดเชื้อธรรมชาติเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้การควบคุมโรคมีประสิทธิผลสูงสุด เพราะผลวิจัยอัตราการต้องเข้าโรงพยาบาลของผู้มีสถานะวัคซีนและสถานะการติดเชื้อต่างกัน ซึ่งทำกับประชากรของแคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์คพบว่า หากเอาความเสี่ยงต้องถูกรับไว้ในโรงพยาบาลของกลุ่มที่ไม่เคยติดเชื้อ และไม่เคยได้วัคซีนเป็นตัวตั้ง กลุ่มที่ได้วัคซีนแต่ไม่เคยติดเชื้อมีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 19.8 เท่า แต่กลุ่มที่เคยติดเชื้อและเคยได้วัคซีนด้วย มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 55.3 เท่า ขณะที่กลุ่มที่เคยติดเชื้อ โดยไม่เคยได้วัคซีนเลย มีความเสี่ยงเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า 57.5 เท่า แปลว่าการติดเชื้อต่างหากที่เป็นตัวบอกว่าจะป้องกันการต้องเข้าโรงพยาบาลได้อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง โดยไม่เกี่ยวกับว่า
จะได้หรือไม่ได้วัคซีนร่วมด้วยเลย ดังนั้น การหวังลดการเข้าใช้โรงพยาบาลจากการเปิดให้ติดเชื้อ จะได้ผลดีกว่าการหวังเอาจากการฉีดวัคซีนซึ่งต้องฉีดกระตุ้นซ้ำซาก ตามรอบที่ภูมิคุ้มกันแผ่วลง และต้องกระตุ้นกันไปอย่างไม่รู้จบ 


ประเด็นที่ 3. อัตราเข้าโรงพยาบาลและอัตราตายจากการติดเชื้อโอไมครอนต่ำมาก นอกจากข้อมูลภาพรวมของอัฟริกาที่ผ่านการติดเชื้อธรรมชาติทั้งทวีปมาได้โดยไม่บอบช้ำแล้ว ข้อมูลของอังกฤษก็บ่งชี้ไปทางเดียวกัน ข้อมูล National Statistic ของอังกฤษบ่งชี้ว่า ทุกวันนี้มีคนตายทั้งประเทศสัปดาห์ละ 826 คน (อัตราตาย 0.03% ถ้าคำนวณจากการติดเชื้อในช่วงเดียวกันสัปดาห์ละ 2,443,077 คน) ในจำนวนที่ตายนี้ประมาณ 35-60% มีโรคเรื้อรังร่วมด้วยจึงยังไม่รู้ว่าตายจากอะไร อัตราตายเพิ่มสัปดาห์ละ 5 คน (0.6%) 
อายุเฉลี่ยของผู้ตาย 82.5 ปี และหากเปรียบเทียบอัตราตายจากทุกโรคต่อสัปดาห์ในช่วงที่โอไมครอนระบาดอยู่ พบว่า ต่ำกว่าอัตราตายรวมต่อสัปดาห์เฉลี่ย 5 ปีก่อนยุคโควิดระบาดอยู่สัปดาห์ละ 12,473 คน หรือต่ำกว่ากัน 0.3% แปลว่าในภาพใหญ่ขณะที่โอไมครอนระบาดระเบ้อติดเชื้อวันละสามแสนกว่า แต่อัตราตายรวมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากสมัยที่ยังไม่มีโควิด

ประเด็นที่ 4. การคิดจะฉีดวัคซีนให้เด็ก เพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมโรคในระดับชาตินั้น เป็นทิศทางที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าจะได้ประโยชน์คุ้มความเสี่ยง ประเทศที่มีข้อมูลเรื่องนี้ดีที่สุดคืออังกฤษ เพราะที่อังกฤษก็มีปัญหาเดียวกันเนื่องจากการติดเชื้อกำลังอยู่ในขาขึ้น คือข้อมูลนับถึงวันนี้จากฐานข้อมูล ZOE พบว่าตอนนี้ 1 ใน 15 คนติดเชื้อถึงระดับมีอาการไปแล้ว มีคนติดเชื้อใหม่วันละ 349,011 คน เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 7% มีค่า R value 1.1 แปลว่ายังอยู่ขาขึ้น แต่จวนเจียนจะถึงพีคเป็นขาลง

และข้อมูลในเด็กของ National Statistic ของอังกฤษพบว่า เด็กระดับมัธยม 96.6% มีภูมิคุ้มกันแล้ว โดยที่ 46.6% ได้วัคซีนครบแล้ว แปลว่าอย่างน้อย 50% ของที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่ได้เกิดจากวัคซีน ส่วนเด็กประถม (อายุ 5-11 ปี) พบว่า 62.4% มีภูมิคุ้มกันแล้ว ถ้าเจาะลึกดูเฉพาะกลุ่มเด็กประถมอายุ 8-11 ปีพบว่า 80.9% มีภูมิแล้ว โดยที่เด็กประถมทั้งหมดนี้ ไม่เคยได้วัคซีนเลย เด็กเหล่านี้ทั้งหมดได้ภูมิมาจากการติดเชื้อธรรมชาติ โดยมักไม่มีอาการ แล้วจะไปฉีดวัคซีนเพิ่มอีกทำไมละครับ เพราะข้อมูลของแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์คก็บอกแล้วว่าวัคซีนไม่ได้ประโยชน์เพิ่มเติมในแง่การต้องเข้าโรงพยาบาลนอกเหนือไปจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ

โดยสรุปผมจึงขอเสนอลุงตู่ว่า มาถึงบัดนี้เวลาได้ผ่านไปนานแล้ว สถานการณ์หรือธรรมชาติของโรค (natural course of disease) ได้เปลี่ยนไปแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การ "คุมโควิด" เสียใหม่ ด้วยการตัดสินใจเลิกกักกัน หรือเลิกชะลอโรคทันที เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ติดเชื้อโอไมครอน เปิดพลั้วะเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี หันมาใช้ยุทธศาสตร์รับมือแบบโรคประจำถิ่น รีบเปิดเสียก่อนที่ใบบุญที่เราสร้างไว้จากการฉีดวัคซีนจะแผ่วลงไป และก่อนที่สายพันธ์ที่รุนแรงกว่าแบบใหม่ ๆ จะมาแทนโอไมครอน






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.