เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



วอนช่วยเหลือ ! "ชาวบ้าน" ยังไม่ได้รับค่าชดเชย ปมเจ้าของที่ถมดินสร้างกำแพงมิดหลังคา จนบ้านเสียหาย


1 เม.ย. 2565, 08:36



วอนช่วยเหลือ ! "ชาวบ้าน" ยังไม่ได้รับค่าชดเชย ปมเจ้าของที่ถมดินสร้างกำแพงมิดหลังคา จนบ้านเสียหาย




ความคืบหน้ากรณีสื่อมวลชนได้รับเรื่องร้องเรียน จากชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน จากการที่เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงถมที่  พร้อมสร้างกำแพงสูงมิดหลังคาบ้าน รวม 10 หลัง โดยบ้านทั้ง 10 หลัง สร้างอยู่ฝั่งซ้ายมือภายในซอยร้านอาหารครัวภักดี ท้องที่หมู่ 1 ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

ต่อมา นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้มอบหมายให้ ร.ต.พงศธร ศิริสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้แก่ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี ที่ทำการปกครองจังหวัดกาญจนบุรี ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกาญจนบุรี อำเภอเมืองกาญจนบุรี และเทศบาลตำบลลาดหญ้า ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผลตรวจสอบพบจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหา 2 ประเด็น

1.ผลการตรวจสอบพบว่าไม่มีการอนุญาต ให้ก่อสร้างกำแพงกันดิน ตามมาตรา 21 และในการก่อสร้างรั้วตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีฐานรากซึ่งอาจเป็นเหตุอันตรายกับบุคคลที่อยู่ข้างเคียง จึงมอบหมายให้เทศบาลตำบลลาดหญ้าในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการออกคำสั่งให้มีการรื้อถอนรั้วออก ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.64

2.กฎกระทรวง กำหนดมาตรการป้องกันการพังทลายของดินหรือสิ่งปลูกสร้างในการขุดดิน พ.ศ.2548 ระบุว่า การถมดิน ส่วนของเนินดินจะต้องห่างจากแนวเขตที่ดินของบุคคลอื่นหรือที่สาธารณะเป็นระยะไม่น้อยกว่าความสูงของเนินดินที่จะถม ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าความสูงของเนินดินสูง 4.5 เมตร จึงมอบหมายให้เทศบาลตำบลลาดหญ้า แจ้งเจ้าของที่ดินดำเนินการขุดดินออกจากกำแพงเดิม โดยให้เคลื่อนย้ายดินห่างจากกำแพงดิน 4.5 เมตร ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.64

สำหรับการแก้ไขปัญหาในประเด็นที่ 1 นั้นเจ้าของที่ดินได้ดำเนินการแล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด ส่วนประเด็นที่ 2 คือการย้ายดินออกไปให้ห่างจากกำแพงบ้าน 4.5 เมตร ยังไม่แล้วเสร็จแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาวันที่ 14 ธ.ค.64 นายปรัชญา ชัยวรานุรักษ์ ยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ได้นัดหมายชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้ง 11 ครัวเรือนไปพบที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลลาดหญ้า เพื่อสอบถามข้อมูลค่าความเสียหายของตัวอาคารบ้านแต่ละหลัง เพื่อจะได้รายงานไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ในการมอบหมายให้โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาญจนบุรี ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย เพื่อจะได้เสนอค่าความเสียหายให้เจ้าของที่ดินเป็นผู้รับผิดชอบในการออกค่าใช้จ่ายให้

ล่าสุดวันนี้ 31 มี.ค. 2565 ผู้สื่อข่าว ONB news ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าโดยไปพบนายธัชชัย กรกุม และ น.ส.มธุรส คุ้มประสิทธิ์ สองสามีภรรยา เจ้าของบ้านเลขที่ 190/98 หมู่ 1 ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี และจากการตรวจสอบแปลงที่ดินที่เป็นต้นเหตุทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน พบว่าเจ้าของได้ดำเนินการย้ายดินออกไปให้ห่างจากกำแพงบ้านระยะ 4.5 เมตร แล้วเสร็จเพียงแค่บางส่วน แต่ฝั่งบ้านของชาวบ้าน จำนวน 11 หลังคาเรือนนั้น ได้มีการย้ายดินออกไประยะ 4.5 เมตรหมดแล้ว แต่ทางเจ้าของที่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดดินให้ลึกไปถึงผิวดินเดิมได้ โดยยังคงเหลืออยู่อีกประมาณ 1.80 เมตร

ทั้งนี้ นายธัชชัย และ น.ส.มธุรส สองสามีภรรยา ร่วมกันเปิดเผยว่าหลังจากที่ทางยุติธรรมเรียกพบเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องค่าเสียหายเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.64 ทางเจ้าของที่ดินได้ขอเวลา 20 วัน แต่เมื่อถึงเวลาทางเจ้าของที่ดินได้ขอเวลาเพิ่มอีก 7 วันโดยให้เหตุผลว่ากำลังตั้งทนายความขึ้นมา เมื่อครบเวลา 7 วันก็ยังไม่มา จากนั้นชาวบ้านจึงโทรแจ้งไปยังยุติธรรมจังหวัด ซึ่งยุติธรรมจังหวัดก็รับปากว่าจะช่วยติดตามให้ เมื่อยุติธรรมจังหวัดตามให้ ทางเจ้าของก็ขอเวลาเพิ่มอีก 7 วัน เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวบ้านจึงคิดว่าเขาก็คงจะขอยืดเวลาจ่ายเงินให้กับชาวบ้านออกไปเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุหลักนั้นอาจจะเป็นเพราะว่ายอดเงินค่าเสียหายรวมกันนั้นมีเป็นจำนวนมากพอสมควร

ส่วนเรื่องการขุดดินออกให้ถึงพื้นดินเดิม เจ้าของที่ดินบอกว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงวัน 20000 บาท และปัจจุบันเขาไม่ดำเนินการต่อแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ทางยุติธรรมจังหวัดและโยธาจังหวัดได้เดินทางมาพบ ซึ่งตนก็บอกไปว่าเจ้าของที่ดินยังขุดดินไม่ถึงพื้นดินเดิม แต่ทางโยธาไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นภาพถ่ายถึงกับตกใจเพราะดินที่ขุดยังอยู่ระดับหน้าต่างบ้านของตน และจะต้องขุดลงไปอีกประมาณ 1.80 เมตร ซึ่งเจ้าของที่อ้างว่าหากขุดลงไปให้ถึงพื้นดินเดิม อาจจะทำให้เสาค้ำยันมันจะพัง และหลังจากก็หยุดดำเนินการขุดดินออกไปจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นอยากจะฝากไปถึงทางจังหวัดว่า ตอนที่เป็นข่าวเห็นทุกหน่วยงานเข้ามาทำงานอย่างจริงจัง แต่เมื่อข่าวเงียบไปทุกอย่างก็เงียบไปหมด จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับมาทำงานแข็งขันเหมือนเดิม ซึ่งเราเองไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวกัน ท่านผู้ว่าฯน่าจะลงมาดูในพื้นที่อีกสักครั้ง เพราะเรื่องมันจะได้เร็วขึ้น ส่วนเจ้าของที่จะเอาอย่างไรก็ให้ว่ามา เพราะเรื่องมันจะได้จบลงสักที และในขณะนี้ฝนก็ได้เริ่มตกลงมา เราจึงมีความเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัย เพราะยังไม่มีใครมารับรองความปลอดภัยให้กับชาวบ้านเลย

สำหรับครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนมี 11 ครอบครัว ประกอบด้วยครอบครัวนายสมชาย หนองรั้ง เลขที่ 190/74 ครอบครัว น.ส.มธุรส คุ้มประสิทธิ์ เลขที่ 190/98 ครอบครัวนายจตุรงค์ ภิรมยา เลขที่ 190/101 ครอบครัวนางนภิศรา ทองอุปการ เลขที่ 190/95 ครอบครัวนางอิศรานันท์ เขียวสาคร เลขที่ 190/100 ครอบครัวน.ส.ฉลวย สัมฤทธิสุทธิ์ เลขที่ 190/83 ครอบครัวนายปราโมท รุ่งหิรัญ เลขที่ 190/82ครอบครัวนายวชิระ ประกอบ เลขที่ 190/97 ครอบครัวนางวันทนา สังข์สุข เลขที่ 190/73 ครอบครัว น.ส.บุษบา ทองอุปการ เลขที่ 190/84 และครอบครัวนายประสิทธิ์ สถิตพรพรหม เลขที่ 190/76









Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.