เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"ครูหนุ่ม" ยอมรับจัดฉากสร้างกระแส "ร่อนทอง" ในคลองชลประทาน เผย! อยากดัง - มีคนอยู่เบื้องหลัง


28 ม.ค. 2564, 07:44



"ครูหนุ่ม" ยอมรับจัดฉากสร้างกระแส "ร่อนทอง" ในคลองชลประทาน เผย! อยากดัง - มีคนอยู่เบื้องหลัง




จากกรณีครูหนุ่ม หรือ หรือ นายกรภัทร พรของแม่ อายุ 33 ปี อาชีพครูปฐมวัย โพสต์โชว์ “ทองนพคุณ” ที่ร่อนได้ในคลองชลประทาน หมู่ 4 อ.เมือง หลังสนามกอล์ฟดอนแจง ใกล้คอกม้า พร้อมได้นำทองที่ร่อนได้ ไปตรวจสอบกับทางร้านทอง ซึ่งระบุเป็นทองจริง ยิ่งสร้างความแตกตื่น จนทำให้ชาวบ้านจากจังหวัดราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ต่างพาอุปกรณ์มาร่อนทองกันเป็นจำนวนมาก จนทางภาครัฐต้องลงมาตรวจสอบ พร้อมสั่งปิดพื้นที่บริเวณคลองชลประทาน หลังสนามกอล์ฟดอนแจง เพื่อห้ามไม่ให้ชาวบ้านมาร่อนทอง เนื่องจากเกรงจะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเข้าข่ายกระทำความผิด พ.ร.บ.แร่ ดังมีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (27 ม.ค. 64) นายวรพล ขอสงวนนามสกุล อายุ 29 ปี ชาวต.วัดเพลง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมขายของภายในตลาดนัดกับทางครูหนุ่ม มากกว่า 2 ปี ได้ออกมาเปิดเผยกับทางผู้สื่อข่าวว่า ทางครูหนุ่ม หรือนายจอร์น กุเรื่องร่อนทองจนเจอทองและพระเครื่องขึ้นมา เพื่อสร้างกระแสอยากดัง โดยอาจมีใครวางแผนการเอาไว้ให้

 



ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. นายกรภัทร พรของแม่ หรือครูหนุ่ม ได้ออกมายอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องราวทั้งหมด เขาเป็นคนกุเรื่องขึ้นมา แต่มีคนอยู่เบื้องหลัง โดยครูหนุ่มบอกว่า ความจริงแล้วทองที่เขานำเอามาโชว์ เป็นทองที่เขาหามาได้จริงๆ ในคลองชลประทานดอนแจง โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ไปหาหอยที่คลองดังกล่าว แต่เผอิญเหลือบไปเห็นที่ทองคำ เลยหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นทองจริงๆ เลยตัดสินใจกลับไปที่บ้านแล้วไปเอาเครื่องตรวจจับโลหะ มาค้นหา ปรากฏว่าไปเจอพวกเศษทองรูปพรรณเพิ่มอีกหลายเม็ด เลยนำกลับมาที่บ้าน แล้วถ่ายรูปเก็บไว้หลังจากนั้นวันที่ 15 ม.ค.จึงนำรูปดังกล่าวโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว  ต่อมาปรากฏเป็นข่าว จากนั้นมาจึงทำให้ชาวบ้านหลายคนแห่ไปร่อนทองที่คลองชลประทานดังกล่าว  ส่วนกรณีที่ชาวบ้านเจอพระเครื่องในคลอง เขาเองยอมรับว่า เป็นคนเอาพระกับเหรียญเก่าๆ ไปโยนไว้ในคลองตั้งแต่วันที่ 9 เพียงแค่หวังว่าหากชาวบ้านไปเจอจะได้มีความชื่นใจ  ครูหนุ่ม บอกอีกว่า หลังจากที่เขานำเรื่องราวไปโพสต์มีบุคคลคนหนึ่งในจังหวัดราชบุรีที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้สื่อข่าวประจำจังหวัด ใช้นามว่า "ตาเป้"ติดต่อเข้ามาทันที

โดยผู้สื่อข่าวคนนี้เข้ามาบอกให้เขาสร้างเรื่องราว โดยให้โกหกว่า มีคนขับสิบล้อมาชี้จุดให้ ก่อนจะลงไปเจอทอง เพื่อที่จะได้สร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งพาเขาไปออกรายการ แต่ปรากฏว่าสุดท้ายถูกนักข่าวคนนี้ โกงค่าตัวเขาไป 1 หมื่นบาท จึงทำให้เขาตัดสินใจออกมายอมรับความจริงกับสื่อในวันนี้  ส่วนเรื่องประวัติของตน ยอมรับว่า ตนนั้นไม่ได้มีอาชีพครูหรือว่ารับเลี้ยงเด็กตามที่กล่าวอ้างไป แต่ความจริงแล้วเขาประกอบอาชีพขายกุญแจตามตลาดนัด ซึ่งพอจากที่เรียนมหาวิทยาลัยจนถึงปีที่ 3 ตนได้ลาออกจากการเรียนมาประกอบอาชีพขายของตามตลาดนัดบวกกับตนนั้นเป็นคนชอบสะสมอัญมณีหรือพวกหินแปลกต่างๆ ทำให้หลายคนเข้าใจว่าตนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัญมณี จึงนิยมเรียกตนว่า "ครูหนุ่ม"ตนยอมรับว่า ตนนั้นเคยเป็นผู้ป่วยทางจิต โดยเฉพาะหลังจากลาออกจากการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ตนกลายเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า โดยพยายามรักษาตัวเองมาโดยตลอดแต่ในช่วงระยะหลังไม่ได้เข้ารับการรักษา



 "ซึ่งตนต้องกราบขอโทษชาวราชบุรี ทุกคนที่แห่กันไปร่อนทอง รวมทั้งขอโทษส่วนราชการทุกส่วนที่ทำให้เดือดร้อน ทั้งหทดที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใคร เกิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์" ครูหนุ่ม กล่าว

ขณะที่ นายวรพล เพื่อนครูหนุ่มที่ออกมาแฉเรื่องราวขอวครูหนุ่มเมื่อวาน บอกว่า หลังจากที่มีข่าวออกไป ตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้ครูหนุ่มรีบติดต่อมาทางเขาทันที โดยเขาเองได้บอกให้ครูหนุ่มออกมายอมรับความจริงหมด

 ด้านนายทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอเมืองราชบุรี เปิดเผยว่า ครูหนุ่ม เบื้องต้นได้รับฟังคำสารภาพ จากครู่หนุ่มแล้ว ว่าไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด มีจริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป เป็นความคึกคะนอง แต่เท่าที่ดูมันเป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ อาจผิดพรบ.คอม ต้องไปดูรายละเอียดกันก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของทางจนท.ตำรวจ โดยตนได้ประสานจนท.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะสร้างความวุ่นวายกันไปหมด ยิ่งในสถานการณ์ที่มันไม่ปกติแบบนี้ อาจเกิดการติดเชื้อติดโรคกันได้ เมื่อครูหนุ่มมาสารภาพถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อยากให้สังคมรับรู้และใช้วิจารณญาณกันมากๆ ไม่ว่าจะจริงจะเท็จ เวลาจะเสพข้อมูลข่าวสารอะไร ส่วนบริเวณคลองชลประทาน ตอนนี้คนลดน้อยลงไป ถ้าหากรู้ความจริงกันแล้ว คิดว่าน่าจะกลับสู่สภาวะปกติ ส่วนเรื่องความผิด ต้องดูองค์ประกอบความผิดและละเอียดว่า เข้าลักษณะที่ไปทำให้ผู้ใดเสียหายหรือเปล่า และผู้ให้ข่าวได้รับประโยชน์อะไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ต้องเป็นหน้าที่ของจนท.ตำรวจ ที่จะต้องสอบสวนเอาข้อเท็จจริงกับข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้องมาปรับดู ถ้าเข้าข่ายก็ต้องดำเนินคดีให้เป็นแบบอย่าง จะได้ไม่มีเรื่องลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก

 






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.