เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



นายกฯ ขอบคุณทีมวิจัย-บุคลากรทางการแพทย์คิดค้นนวัตกรรมคุมโควิด


19 ม.ค. 2564, 12:08



นายกฯ ขอบคุณทีมวิจัย-บุคลากรทางการแพทย์คิดค้นนวัตกรรมคุมโควิด




วันนี้ (19 ม.ค. 63) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมนิทรรศการตัวอย่างผลงานวิจัยและนวัตกรรมในสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงาน ประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ “ฮาวทูแยก - แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ” โดยสำนักนายกรัฐมนตรี โอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมเยี่ยมชมด้วย



คณะผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมนำแพทย์ และทีมนักวิจัยและพัฒนา เสนอผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย เครื่องตรวจวินิจฉัย “ลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย” “ปัญญาประดิษฐ์ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชน” รวมทั้งผลงานที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ : รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปีงบประมาณ 2564 ได้แก่ “เครื่องผลิตละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อ” จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “ระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสแบบไฮบริดควบคุมผ่านอินเตอร์เนตของสรรพสิ่งสำหรับการให้บริการบริเวณสถานที่สาธารณะ” จากคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทีมแพทย์และคณะวิจัยและพัฒนา รัฐบาลพร้อมผลักดันการคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ สามารถนำไปสู่กระบวนแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งการวิเคราะห์แหล่งที่มาทำให้สามารถระบุสายพันธุ์ไวรัส ช่วยในการควบคุมให้มีประสิทธิมากขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การจัดทำมาตรการตรวจสอบคัดกรองที่เข้มข้น ซึ่งไทยมีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ จึงต้องไม่ประมาทและควบคุมโรคตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งอยากเห็นการต่อยอดงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาทิ การนำระบบบริการตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสใช้ในสถานศึกษา โรงพยาบาล การพัฒนาเครื่องปรับอากาศให้สามารถพ่นละอองไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์สำหรับฆ่าเชื้อได้
 
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเผยความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เตรียมรับรองมาตรฐานวัคซีนจาก AstraZeneca  โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด สามารถผลิตได้ โดยคาดไทยจะได้รับวัคซีนในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เป็นการใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และยังต้องควบคุมเพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อดูแลประชาชนทั้งประเทศ ในอนาคตยังมีการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพดีเพิ่มเติมได้อีก


จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับมอบอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อประกอบด้วย ถังขยะสีแดงแบบลดการสัมผัสและถุงขยะสีแดงอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เพื่อรณรงค์การกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธี โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนำผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและผู้บริหารบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด  นำเสนอโครงการ “ฮาวทูแยก – แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ” เพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ โดยจะนำไปใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการติดเชื้อไวรัส-19 สูง คือ  สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ที่สำคัญคือ วินัยและความร่วมมือของประชาชน ในการช่วยกันกำจัดขยะติดเชื้ออย่างถูกต้อง ทั้งหน้ากากอนามัยและขยะติดเชื้ออื่น ๆ  ซึ่งแนวคิดในการจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะในท้องถิ่นก็เพื่อความลดความเสี่ยงในการขนย้ายขยะ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวชื่นชมการผลิตเสื้อกาวน์จากเม็ดพลาสติกโดยคนไทย มีราคาถูก สามารถซักทำความสะอาดนำมาใช้ใหม่ได้ถึง 20 ครั้ง ยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย สร้างรายได้ในช่วงโควิด-19  ซึ่งเป็นผลมาจากข้อริเริ่มของนายกรัฐมนตรีที่เสนอ ในโอกาสหารือกับสมาคมสิ่งทอไทยที่ผ่านมาด้วย 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.