วันนี้ (31 ก.ค. 62) ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า เวลา 04.30 น. เจ้าหน้าที่ ตร.สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายส่งผักตลาดเมืองทอง เขตเทศบาลนครอุดรธานี ว่า พบผู้เสียชีวิต เป็นชายสูงอายุ ร่างกายขาดรุ่งริ่ง ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงท้องและแผ่นหลังจนถึงปลายเท้า จนเห็นกระดูกและเส้นเอ็น จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สรายุทธ ฉ่ำผิว ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี, แพทย์เวร ร.พ.อุดรธานี, หน่วยพิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.อุดรธานี, เจ้าหน้าที่มูลนิธิอาสากู้ภัยส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี

ที่เกิดเหตุเป็นตลาดค้าส่งผักผลไม้ ที่บริเวณถนนหน้าแผงผลไม้ของ นางพิสมัย พิณทอง พบศพดังกล่าวอยู่บนถนน สภาพร่างกายขาดวิ่น เป็นที่สยดสยองแก่ผู้พบเห็น ที่หน้าแข้งขวามีเหล็กดามภายใน ชิ้นส่วนบางชิ้นหายไปคือกะโหลกศีรษะ ฝ่ามือ และมีเศษกางเกงขาสั้นเปื้อนเลือดติดอยู่ ในตัวของผู้ตายไม่พบเอกสารว่าเป็นใครมาจากไหน
 

พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี สอบถามคนงานแผงผลไม้ของ นางพิสมัย ซึ่งเป็นผู้พบศพคนแรกให้การว่า ช่วงเวลาประมาณตีสามเกือบตีสี่ ตนต้องออกมาคอยรับผลไม้ที่รถจะมาส่งที่หน้าแผง และวันนี้เห็นว่ามีรถกระบะคันหนึ่งจำได้ว่ายี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ มีโครงหลังคาเหล็ก ส่วนทะเบียนจำได้แค่ตัวเลข 8001 อุดรธานี จำหมวดอักษรไม่ได้ ด้านหลังมีลังและกระบะใส่ผลไม้วิ่งเข้ามาจอด แล้วถอยออกไป กระทั่งตนเดินไปที่จุดจอดรถกระบะก็พบศพดังกล่าว จึงบอก รปภ.ให้แจ้งตำรวจมาตรวจสอบทันที

ต่อมามี น.ส.ต้อม สุกสวาท แจ้งกับ ตร. ว่าเป็นลูกสะใภ้ของผู้ตาย ญาติผู้เสียชีวิตได้นำหลักฐานมาแสดงว่าผู้ตายคือ นายทอง สุกสวาท อายุ 85 ปี ชาว ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู โดยผู้ตายเป็นผู้พิการเดินไม่ได้ เคยผ่าตัดขาข้างขวา และเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ เวลาไปไหนมาไหนต้องคลานหรือถัดไปตามพื้น

ส่วนสาเหตุที่ถูกปิคอัพลากศพข้ามจังหวัดครั้งนี้คาดว่า ขณะที่ผู้ตายคลานออกมานอกบ้านเป็นถนนเลียบถนนใหญ่ในช่วงดึก ได้มีรถปิคอัพขนผักวิ่งขับผ่านมาแล้วชนจนร่างมุดเข้าไปใต้ท้องรถเกี่ยวกับเพลาติดลากไป โดยที่คนขับอาจไม่รู้ว่าชนคน หรือมีอะไรติดใต้ท้องรถ ได้แต่เร่งเครื่องยนต์ออกไป ก่อนจะลากศพไปตั้งแต่บ้านโนนทัน เขต จ.หนองบังลำภู จนถึงตัวเมืองอุดรธานี เป็นระยะทางไกลกว่า 40 กิโลเมตร

ล่าสุดทางชุดสืบสวนได้เร่งตรวจสอบหมายเลขทะเบียนเพื่อเปรียบเทียบหารถต้องสงสัย และตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อหารถคันดังกล่าว และเรียกคนขับมาสอบสวนหาสาเหตุและดำเนินคดีตามกฎหมายกันต่อไป