เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



มท.1 สั่งการทุกจังหวัด ป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ


18 ธ.ค. 2563, 09:33



มท.1 สั่งการทุกจังหวัด ป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นระบบ




วันนี้ (18 ธ.ค.63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยในช่วงปลายฤดูหนาวของทุกปี ประเทศไทยจะเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งโดยธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ อาทิ การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่ง ไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หมอกควันข้ามแดน และสภาพทางอุตุนิยมวิทยา รวมทั้งสภาพภูมิประเทศในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ลมสงบ ส่งผลให้ระดับเพดานการลอยตัวและการกระจายตัวของฝุ่นละอองอยู่ในระดับต่ำ การไหลเวียนและถ่ายเทอากาศไม่ดี ทำให้เกิดการสะสมฝุ่นละอองในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นบางช่วงเวลาในหลายพื้นที่



พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ช่วงปลายปี 2563 ต้นปี 2564 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 จึงได้สั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดำเนินการ 6 มาตรการ ได้แก่ 1) ถือปฏิบัติตามหลักในการอำนวยการ สั่งการ ควบคุมและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2) ทบทวนและจัดทำแผนเผชิญเหตุสำหรับใช้แก้ปัญหาในพื้นที่รับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับการจัดทำรายละเอียดการแบ่งพื้นที่ การกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนถึงระดับอำเภอและตำบล ตลอดจนการจัดชุดปฏิบัติการที่สามารถเข้าไปยังจุดที่ก่อให้เกิดการเผาหรือการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ครอบคลุมในทุกพื้นที่ 3) ตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ติดตามสถานการณ์การเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยี อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียม และ Application เสริมประสิทธิภาพการติดตามตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศและการบัญชาการดับไฟป่า ตลอดจนใช้เป็นข้อมูลในการอำนวยการ สั่งการ และแจ้งเตือนประชาชน 4) เน้นย้ำการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการควบคุมและลดมลพิษจากยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม ครัวเรือน และสร้างการรับรู้ ความตระหนักให้แก่ประชาชน เช่น ส่งเสริมการตรวจสภาพรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ การใช้พลังงานสะอาด และการใช้เตาหุงต้ม/เตาปิ้งย่าง/ถ่านปลอดมลพิษ เป็นต้น 5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประสานอำเภอ อปท.ในพื้นที่ เร่งสร้างความเข้มแข็งและเสริมสร้างความรู้ให้ผู้นำชุมชน จิตอาสา อาสาสมัคร และประชาชน ในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระหว่าง ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพอากาศ รวมทั้งขยายเครือข่ายแจ้งเตือน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทราบถึงสถานการณ์ที่ถูกต้อง 6) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) แนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ มาตรการต่าง ๆ ภาครัฐ และข้อกฎหมาย ทั้งนี้ หากสถานการณ์อยู่ในภาวะที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพประชาชน ให้เร่งบูรณาการทุกหน่วยงานให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว


พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า สำหรับในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และพื้นที่จังหวัดภาคอื่นที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ให้ปฏิบัติตามมาตรการ "4 พื้นที่ 5 มาตรการบริหารจัดการ" โดยในส่วน 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) พื้นที่ป่าสงวน/ป่าอนุรักษ์ โดยดำเนินการควบคุมไฟป่า จัดทำแนวป้องกันไฟ จัดกำลังลาดตระเวน บังคับใช้กฎหมาย ปิดป่าในช่วงประกาศห้ามเผา การทำป่าเปียก/ป่าชื้น ฯลฯ และการให้ผู้นำท้องที่ตั้งกฎกติกาการห้ามเผาป่าในหมู่บ้าน/ชุมชน และจัดทำบัญชีผู้มีพฤติกรรมเข้าป่าเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์ 2) พื้นที่เกษตรกรรม โดยควบคุมการเผาในพื้นที่การเกษตร จัดระเบียบบริหารเชื้อเพลิง รณรงค์การใช้สารย่อยสลายหรือไถกลบตอซังข้าว/ข้าวโพด/ซากวัชพืช ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการแปรวัสดุการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า และจัดอาสาสมัครเฝ้าระวังไม่ให้เกษตรกรลักลอบเผา 3) พื้นที่ชุมชน/เมือง ให้จังหวัด อำเภอ และอปท. กำหนดกติการ่วมกันของชุมชน โดยใช้กลไกประชารัฐ เฝ้าระวัง ป้องกัน การเผาในพื้นที่ชุมชน/เมือง การฟอกอากาศ/การสร้างเมืองต้นไม้ การกำหนดพื้นที่ปลอดมลพิษ (Safety Zone) และจัดชุดปฏิบัติการประจำตำบล/หมู่บ้าน ประชุมชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบมาตรการและแนวทางภาครัฐ 4) พื้นที่ริมทาง โดยจัดกำลังอาสาสมัครภาคประชาชนลาดตระเวน เฝ้าระวัง และกำจัดเศษวัสดุ ขยะ ใบไม้แห้ง ที่เป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่ริมทาง เพื่อไม่ให้มีเชื้อไฟและใช้เป็นแนวกันไฟ และในส่วนมาตรการบริหารจัดการ 5 มาตรการ ได้แก่ 1) ระบบบัญชาการเหตุการณ์ โดยให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดและอำเภอ เป็นองค์กรหลักในการอำนวยการ สั่งการ ระดมสรรพกำลัง ทรัพยากร และประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ 2) สร้างความตระหนัก สร้างการรับรู้กับประชาชนทราบถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และการส่งเสริมให้ประชาชน นักเรียน เยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า 3) ลดปริมาณเชื้อเพลิง โดยให้จัดทำแนวกันไฟ การควบคุมการเผา ส่งเสริมการใช้สารหมักชีวภาพเพื่อย่อยสลายตอซัง และการนำเศษวัสดุทางการเกษตรมาทำอาหารสัตว์ และกำชับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. คณะกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน สอดส่อง ตักเตือน ห้ามปราม ผู้ที่จุดไฟเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเฉพาะตามเขตรอยต่อระหว่างชุมชนกับเขตป่าไม้ 4) การบังคับใช้กฎหมาย ให้กำชับเจ้าพนักงานตามกฎหมายบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และจับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบเผาในพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุมชน/เมือง และพื้นที่ริมทาง 5) ทีมประชารัฐ โดยบูรณาการทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและกำหนดแนวทาง มาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเน้นย้ำให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกคนเป็นสำคัญ






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.