นายชวลิต กล่าวว่า จากการสอบถามพนักงาน ทราบว่า เหตุการณ์นี้เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบจากการสื่อสารที่น้อยไป เพราะขณะลงพื้นที่มาสอบสวนเรื่องนี้ และพบกับเจ้าหน้าที่ที่ถูกย้ายน่าจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ และอีกฝ่ายคิดว่าถูกย้ายขาด ทั้งที่ความจริงแค่ย้ายชั่วคราว

 

 

“ข้อเท็จจริงของเรื่องลูกเก้งเผือกสายพันธุ์พระราชทาน 2 ตัวที่หายไปนั้น จริงๆ แล้วใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว โดยตัวแรกที่หายไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ. หายไปจริง แต่หายไปเพราะถูกขโมย หรือหายจากเหตุถูกสัตว์อื่นกิน หรือหายไปเพราะไปอยู่ในจุดที่ดินสไลด์ กำลังตรวจสอบอยู่ เบื้องต้นโครงกระดูกที่พบเป็นเก้งจริง แต่จะเป็นเก้งเผือกหรือไม่นั้นก็สามารถพิสูจน์ได้จากเซลล์ แต่ต้องใช้เวลา หรือถ้าหากถูกขโมยไปจริง ก็ไม่น่าจะบานปลายขนาดนี้ เพราะสามารถตรวจสอบและหาคนทำผิดได้ และดำเนินคดีกับผู้ทำ” นายชวลิตกล่าวและว่า ส่วนลูกเก้งเผือกอีก 1 ตัวที่หายไปเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ทางประธานกรรมการสอบสวนก็มีหลักฐานยืนยันชัดเจนแล้วว่า ที่หายไปเพราะถูกงูเหลือมกินจริง และเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่ไม่ได้รายงานจนเกิดความสับสนระหว่างตัวแรกกับตัวที่สองว่ามีการขโมยต่อเนื่องถึงสองตัว เรื่องนี้จึงเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันทำให้ต้องสูญเสียบุคลากรที่มีค่าไปถึงสองคนจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

 

 

นายชวลิต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่สวนสัตว์สงขลา 4 คน เป็นการย้ายตามปกติ โดยเฉพาะนายภูวดล นั้นเพราะเป็นหัวหน้าที่ดูแลสัตว์โดยตรง ซึ่งทำหน้าที่ชันสูตรด้วย จึงต้องย้ายออกไปก่อนเพื่อไม่ให้สังคมคาใจว่าเป็นการลูบหน้าปะจมูก อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 ต.ค.นี้ ทางบอร์ดองค์การสวนสัตว์จะประชุมสรุปภาพรวมทั้งหมด ไม่เฉพาะปัญหาของสวนสัตว์สงขลาเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องการสูญหายของสัตว์ที่ผ่านมาก็ไม่พบว่ามีการสูญหายผิดปกติแต่อย่างใด

ทั้งนี้หลังให้สัมภาษณ์ นายชวลิต ได้ลงพื้นที่ไปดูส่วนแสดงเก้งและกวาง และจุดที่พบซากเก้งเผือก พร้อมกับนำหลักฐานภาพถ่ายเก้งเผือกตัวที่ถูกงูเหลือมกินมาให้ดู สำหรับทางคดีนั้นตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งความเรื่องเก้งหายแต่อย่างใด แต่ทางชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาได้รับคำสั่งให้เข้ามาติดตามสืบกรณีเก้งหายอย่างละเอียดว่าหายเพราะงูเหลือมกินจริง หรือหายเพราะสาเหตุอื่น และสาเหตุการก่อเหตุของนายแพทย์อย่างละเอียด.