ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยไตรมาสแรกของปีนี้มีธุรกิจปิดตัวไปแล้วถึง 3,986 บริษัท มีแรงงานได้รับผลกระทบ ถึง 14.5 ล้านคน จากภาคการท่องเที่ยว 2,500,000 คน ภาคอุตสาหกรรม 1,500,000 คน ภาคบริการ 4,800,000 คน และภาคการเกษตร 5,700,000 คน

โดยกลุ่มที่ต้องจับตามอง คือ กลุ่มนักศึกษาจบใหม่ในปีนี้กว่า 520,000 คน ที่อาจจะไม่มีตำแหน่งงานรองรับได้ทั้งหมด จึงต้องมีมาตรการสร้างงานและจ้างงาน ซึ่งกลุ่มที่มีทักษะด้านดิจิทัลจะมีโอกาสได้งานสูงกว่า

สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแบ่งตามขนาดของบริษัท เช่น บริษัทขนาดเล็กอย่างร้านอาหาร โรงแรมประเภทโฮสเทล การขนส่งทางอากาศ รวมถึงบริการด้านบันเทิงและสันทนาการ ส่วนบริษัทขนาดกลางก็จะคล้ายๆ กัน แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยอย่างเช่น การบริการทางการเงิน ดีลเลอร์รถยนต์ ร้านค้าปลีก สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ภัตตาคาร การขนส่งทางอากาศที่มีหลายสายการบินเริ่มปรับขนาดองค์กร ปรับเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไรและลดจำนวนพนักงานลงให้สอดคล้องกัน ส่วนโรงแรมขนาดใหญ่ในพื้นที่เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาต้องแบกรับภาระขาดทุนมาตลอดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ยิ่งต้องเจอกับมาตรการล็อกดาวน์ประเทศที่ทุกประเทศทั้งโลกเขาทำกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจไหนสายป่านยาวก็ยังได้ไปต่อ

 

แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2563 เป็นอีกปีที่เติบโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ โดยมีปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญก็คือ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัญหาภัยแล้งและ พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่ล่าช้า ขณะเดียวกันมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่าเศรษฐกิจไทยและธุรกิจต่างๆ จะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งเมื่อไหร่ คำตอบที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจให้ไว้ก็คือ เมื่อคนเริ่มมั่นใจ 100 % ว่าโลกใบนี้ปลอดโรคระบาดแล้ว คนกลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว เมื่อนั้นเศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวขึ้นเอง