เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



 หมอเผยกราฟผู้ป่วยน่าตกใจ โควิด-19 ไทย ซ้ำรอยอิตาลี 


23 มี.ค. 2563, 12:47



 หมอเผยกราฟผู้ป่วยน่าตกใจ โควิด-19 ไทย ซ้ำรอยอิตาลี 




 

 นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ แพทย์ประจำศิริราช ได้ออกมาเปิดเผยกราฟของผู้ป่วย ที่มีลักษณะคล้ายของประเทศอิตาลี อิหร่าน ซึ่งพบกับจำนวนผู้ป่วยมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว นำไปสู่ระบบการแพทย์ที่พังทลายไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อีกต่อไป

โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า ​ความรู้สึกของผมตอนนี้ ​คือผมไม่ค่อยชอบตัวผมเองตอนนี้สักเท่าไหร่เลย เพราะเหมือนทำตัวเป็นผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล ยังไงไม่รู้ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นทีแรกตั้งใจว่าวันนี้จะปิดปากให้เงียบหน่อยแต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น มีข้อมูลสำคัญเกิดขึ้น ที่ทำให้ผมต้องมาเขียนเรื่องโควิดอีกจนได้ คือ หลังจากที่ได้โพสต์เรื่องกราฟสีเขียวสีชมพูไปเมื่อวานนี้ ผมก็ได้ภาพกราฟนี้ในไลน์กลุ่มเพื่อนศิริราช(ข้อมูลจากเพื่อนผม ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผอ.สำนักงานวิจัยแห่งชาติ- ขออนุญาตแล้ว ให้แชร์ได้ครับ)

แล้วหลังจากนั้น ตอนบ่ายก็มีการประกาศปิดห้างในกทม.และปริมณฑล กราฟภาพนี้คือเบื้องหลังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ที่ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจเพิ่มมาตรการเข้มงวดขึ้น ด้วยการประกาศปิดห้าง

และสถานที่ชุมชนที่ไม่จำเป็นหลายๆ แห่งในกทม.และปริมณฑล ถ้าเรามาดูข้อมูลจากภาพกราฟนี้

เราจะเห็นเส้นกราฟที่ขึ้นชันๆ ชัดๆ ก็คือ สีส้มของอิหร่านและสีน้ำเงินของอิตาลี และเส้นกราฟที่นอนแบน คือ สีฟ้าอ่อนของญี่ปุ่น เขียวของสิงคโปร์และม่วงของฮ่องกง สีแดงตรงกลางคือประเทศไทย

รวมข้อมูลคนไทยที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเมื่อวาน 21มีนาคม 63 คือ 411 คนตรงนี้จะเห็นชัดเจนเลยนะครับว่า ประเทศไทยกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตที่กำลังจะเป็นไปอย่างมากที่สุด อิหร่านกับอิตาลี มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รวดเร็วเกินไปในช่วงแรกๆ ที่ระบาด

ในขณะที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์และฮ่องกง สามารถควบคุมไม่ให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ เกิดมาก และเร็วเกินไปกล่าวคือ เส้นกราฟสีแดง คือประเทศไทย และมันกำลังเลือกว่า มันจะกระดกขึ้นชันแบบอิตาลี,อิหร่านดี หรือว่ามันจะผงกหัวลงมาเป็นแบบญี่ปุ่น,สิงคโปร์,ฮ่องกง เส้นกราฟสีแดง จึงกำลังอยู่ในจุดหักเหที่สำคัญที่สุด จำนวนผู้ติดเชื้อใน 5-7 วันต่อไปนี้ จะเป็นตัวกำหนดเส้นกราฟสีแดงเส้นนี้ครับ นี่คือเบื้องหลังของเหตุผลที่เมื่อวานนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่องนี้แลกมากับความเจ็บปวดและความไม่พอใจของประชาชนจำนวนมาก เฮ้อ.....ผมไม่น่าเขียนแบบนี้เลย

มันเหมือนผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเข้าไปแล้วจริงๆ ผมไม่รู้ว่า ทำไมรัฐบาลไม่สื่อสารให้ดีๆหรือสื่อสารไม่ดีพอ หรือสื่อสารให้มากกว่านี้ อะไรก็ตามเถอะผมยังยืนยันว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ยิ่งไม่ใช่เวลามาโทษกันว่าเพราะใคร พวกเราต้องช่วยกัน

พวกเรานอกจากอ่านเข้าใจแล้ว ยังอาจจะต้องช่วยกันทำความเข้าใจเรื่องนี้การตัดสินใจครั้งนี้ให้กับคนอื่นๆ อีก ไม่อยากจะบอกว่า เหมือนเราช่วยกันเป็นโฆษกให้รัฐบาลเลย อะ หรือจะไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้นะครับ ให้คิดว่าเรากำลังทำเพื่อตัวเราเอง เพื่อครอบครัวของเราและเพื่อคนที่เรารัก ก็อาจจะดีกว่า

เฮ้อ....... เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราคนไทยจะต้องช่วยกันให้มากที่สุด ก็คือช่วยทำให้กราฟเส้นสีแดงนี้ ไม่ผงกหัวกระดกขึ้นไปเหมือนอิตาลีให้ดีที่สุด ภายใน 5-7 วันข้างหน้านี้ครับ ศึกนี้ใหญ่หลวงนักแต่เราช่วยประเทศชาติได้ โดยไม่ต้องไปถืออาวุธ สู้ศึกเหมือนสมัยโบราณครับ เราช่วยประเทศชาติชนะศึกได้ด้วยการแค่อยู่บ้านเฉยๆ เท่านั้นเองครับ

อาจจะเจ็บปวดบ้าง อาจจะอึดอัดกันบ้าง แต่ก็ขอให้นึกเสียว่า เป็นความเจ็บปวดที่เราจะช่วยประเทศชาติและส่วนรวม ขอให้นึกเสียว่า เป็นความอึดอัดที่เราอาจจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างและถ้าใครจะช่วยสวดมนต์ ในช่วงนี้ ก็ช่วยสวดให้กราฟเส้นสีแดงเส้นนี้ ขอความกรุณาแบนราบลงด้วยเถอะครับ



เบื่อคนบ่น

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า

ผมไม่รู้เรื่องการเมืองหรอกนะครับว่า
ทำไมเจาะตรวจน้อย หรือไม่เจาะตรวจ
แล้วตัวเลขจริงๆ มันจะเป็นยังไงกันแน่
หมกเม็ดกันหรือไม่?

ในฐานะนักวิชาการ ผมก็มองตามที่ผมเห็น
พวกเราที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม ที่ผมเริ่มเขียน
ก็จะเข้าใจสาเหตุที่ผมต้องเขียนเรื่องโควิดนี้

ในฐานะนักวิชาการ ผมเชื่อว่า
ข้อมูลบวกกับความรู้ และการมองภาพรวมให้ชัด

จะช่วยให้เรามองเห็นทิศทางที่ควรจะเดินไป
และสามารถอยู่รอดในวิกฤติการณ์ได้

ผมเขียนข้อมูลจากกราฟนี้
เพราะผมเชื่อมั่นในข้อมูลของเพื่อนของผม
ที่ชื่อ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล
ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยแห่งชาติ
ซึ่งเป็นคนที่เก่งมากๆ มาตลอด และเป็นคนตรงไปตรงมา

ผมวิเคราะห์ไปตามข้อมูลที่มี
ผมต้องเขียนเรื่องราวพวกนี้
เพราะ fake news มีเยอะเกินไป
และโดยเฉพาะบทความที่เขียนในวันนี้
ก็เพราะคำบ่นมีเยอะเกินไป

ผมไม่อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของผม
ที่กำลังทำงานอย่างหนักอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขขณะนี้
ต้องเสียกำลังใจ
เพราะพวกปากเปราะ และมือเร็ว

พวกเราที่อ่านดู ก็เชื่อตามที่เราเข้าใจแล้วกันนะครับ
ผมก็แค่เล่า ตามที่ผมเห็นและผมเข้าใจ

ใครไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย
ยินดีรับฟังครับ คุยด้วย ถ้าท่านสุภาพ ไม่บ่น ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง

ผมจะขอถือสิทธิ์ ตัด บล็อก
ข้อความที่ไม่สร้างสรรค์เหล่านั้นออกไปนะครับ
จะโกรธกัน ก็ตามใจ

หวังว่าเราจะได้มีโอกาสโกรธกันอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้

ผมทำหน้าที่ของผม แล้วผมสบายใจ
แต่ถ้าใครบ่นแล้วสบายใจ
ขอความกรุณาไปบ่นที่อื่นนะครับ

แต่ถ้าใครหมดแรง หมดกำลังใจ อยากทิ้งผ้าขาว
ยังแวะเวียนมาพูดคุยกันได้เสมอครับ

 

กราฟในวันนี้ ยังคงมาจากเพื่อนของผม คุณหมอสิริฤกษ์นะครับ

ที่ผมอยากนำเสนอในวันนี้ก็คือ

ถ้าเราดูเส้นสีเหลืองของเกาหลีใต้
จะเห็นว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจาก 100-1000 ขึ้นเร็วมาก
เหมือนอิหร่านและอิตาลี

คือใช้เวลาเพียง 4-5 วัน เท่านั้น

แต่พอยอดเริ่มมากกว่า 5000 คน เกาหลีใต้ก็เริ่มคุมสถานการณ์ได้

ที่เค้าคุมได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการที่เข้มงวด
(ในขณะที่อิหร่าน อิตาลียังพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ)

เส้นกราฟของไทยเรา คือเส้นสีแดง
ถ้าดูตามกราฟ
ตอนนี้เราสามารถดึงระยะเวลาของการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อ
จาก 100-1000 คน นี้มาได้เป็นเวลามากกว่า 7 วันแล้ว

ที่ผมอยากจะสื่อสารกับพวกเราในวันนี้ ก็คือ

ต่อให้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อของไทย ขึ้นไปถึง 5000 หรือ 10000 คน

ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องยอมแพ้

เพราะทุกๆ วัน พวกเรายังมีโอกาส ที่จะทำให้กราฟแบนราบลง

เกาหลีใต้ ทำให้ดูแล้ว
แม้หลายคนอาจจะมีสมมติฐานว่า
ศักยภาพเรื่องคน เราอาจจะไม่มีวินัยเท่าเกาหลีใต้

แต่ความจริงคือระบบสาธารณสุขของเรา
ไม่ได้เป็นรองเกาหลีใต้เลยนะครับ

(แต่เสียงบ่นนั่นแหละ
ที่อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขของเราลดลงได้)

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า
ไทยเราอยู่อันดับ 6 ของโลก
(ใครมีข้อมูลช่วยโพสต์เข้ามาให้หน่อยนะครับ
พอดีจังหวะนี้ผมหารูปนั้นไม่พบ)

เรายังมีหวังเสมอนะครับ
ในช่วงนี้ สัปดาห์นี้ แต่ละวัน มีคุณค่า มีความสำคัญมากๆ
ในการที่ทุกคนจะสามารถช่วยกันได้

ในสถานการณ์ที่วิกฤติแบบนี้
และกำลังจะเป็นจุดหักเห ของกราฟเส้นสีแดงของประเทศไทยแบบนี้

เมื่อวานนี้ ก็มีผู้คนเข้ามาให้ความสนใจบทความของผมเป็นจำนวนมาก
พวกเราจำนวนมากเข้าใจภาพรวมมากขึ้น
เห็นความสำคัญของการมีวินัยของตัวเอง
ต้องขอขอบคุณมากมายเลยนะครับ

แต่คนจำนวนหลายคน
ก็ยัง “บ่น”
เป็นการบ่นถึงเรื่องราวที่ผ่านมา โน่น นี่ นั่น

หลายคนมองหาความผิดของคนอื่นๆ

การโทษคนอื่น ในความหมายจริงๆ และลึกๆ
ก็คือ เป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาซะเลย
เพราะทุกสิ่งที่เราเจอ คือผลจากที่เรามีส่วนทำให้เกิดขึ้นเองทั้งนั้น

อีกหลายคน อยากทิ้งผ้าขาวยอมแพ้ หมดกำลังใจ กลัวลำบาก กลัวตาย

มันได้ประโยชน์อะไรที่ทำแบบนั้น???
มันมีประโยชน์อะไรกับความคิดอารมณ์และร่างกายของตัวเอง????
มันมีประโยชน์อะไรกับครอบครัวเรา คนที่เรารัก???

ทำไมเราต้องยอมให้สิ่งที่เราทำไม่ได้ หรือไม่ใช่หน้าที่ของเรา
มารบกวน มาบดบัง
สิ่งที่เราทำได้ และเป็นหน้าที่ของเรา???

คำถามที่สำคัญกว่าก็คือ
“สิ่งที่ต้องทำในนาทีต่อไปของเราคืออะไร???”

ถ้าเห็นว่า สถานการณ์ในวันนี้ สัปดาห์นี้กำลังวิกฤติ
เราก็ควรช่วยกัน
ใครหยุดอยู่บ้านได้ ก็หยุด ตัดการพบปะกับคนอื่นๆ ทั้งหมด
หรือให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ผมยกตัวอย่างพยาบาลท่านหนึ่ง
เธอทำงานในโรงพยาบาลเอกชนในกทม.
คุณพ่อคุณแม่ก็อยู่แถวพระราม 2
เธอก็ยอมกักตัวเองอยู่หอ ไม่กลับบ้าน
ทั้งๆ ที่เธอก็ยังไม่ได้ป่วย
และทั้งๆ ที่ก็คิดถึงพ่อแม่มาก
แต่เพราะการกลับบ้านไปพบพ่อแม่ เธอมีโอกาสนำเชื้อโควิดไปที่บ้าน
อย่างนี้เป็นต้น

ขอโทษทุกท่าน ที่ผมที่ต้องเขียนเรื่องนี้
โดยเฉพาะกับท่านที่ไม่ทันได้บ่นอะไร
แต่ก็ต้องมารับฟังผมตรงนี้

 

คำบ่น ไม่ได้ช่วยอะไร

เสียเวลา
ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
ทำร้ายความคิดตัวเอง
ตอกย้ำถึงความย่ำแย่รอบข้าง สั่นคลอนและทำลายความเชื่อด้านดีๆ ที่เคยมีมา
ลึกๆ เป็นการดูถูกตัวเอง ไม่รักตัวเอง ทำร้ายตัวเอง
ทำร้ายคนที่ได้ยิน ได้เห็น ได้อย่างน้อย 6 เท่า ของคำชม
ภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ลดน้อยลง เจ็บป่วยง่าย
และในที่สุดมักจะยิ่งเป็นคนโชคร้าย

ฯลฯ

แน่นอนว่า
เราหยุดคำบ่นได้ยากมาก
แต่เราเรียนรู้ได้ ถ้าคิดจะทำ

บ่นน้อยไปคำหนึ่ง
ก็ช่วยอะไรได้เยอะ
โควิด ก็เริ่มจากไวรัสตัวเดียวเหมือนกัน แต่เพิ่มแบบทวีคูณ (2 เท่า) ไปเรื่อยๆ

ผมอยากจะเรียกร้องให้ทุกคนบ่นให้น้อยลงสักคำหนึ่ง
ก็ยังดีนะครับ

คุณบ่นครั้งหนึ่ง คุณร้ายกาจกว่าโควิดเสียอีก
เพราะมันทำลาย 6 เท่าของคำชมและกำลังใจ

ธรรมชาติ ไม่ได้ลำเอียงเกินไปนักหรอก
เรื่องไม่ดี กระจายได้เร็ว

แต่เรื่องดีๆ ก็สามารถกระจายได้เร็วเช่นกัน
ผมเชื่ออย่างนั้น

อีกเรื่องก็คือ
ประเด็นที่เกี่ยวกับการเมือง ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวนะครับ
ผมยืนยันหลักการของผมไปแล้ว
ใครจะคิดยังไง ก็ตามใจ
ถ้าจะสบายใจคิดว่าผมเป็นพวกรัฐบาลตามสมองที่หวาดระแวงก็ตามใจ
แต่ผมยืนยันว่า ถ้าคิดว่ากระทรวงสาธารณสุข เป็นพวกรัฐบาล
ผมก็เป็นพวกรัฐบาลละกัน
เพราะสิ่งที่ผมทำ คือ ผมพยายามช่วยพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่กระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งกำลังทำงานอย่างหนักหลายๆ ด้าน
ด้วยการช่วยทำความเข้าใจ ถึงวิกฤติหัวเลี้ยวหัวต่อของสถานการณ์โควิด
และความจำเป็นที่ประชาชนทั่วไป จะช่วยกันได้ และสำคัญมากในตอนนี้เท่านั้น

ถึงที่สุด
ผมยังเชื่อมั่นว่า เมืองไทยมีดีครับ

พวกเรายังสามารถช่วยกัน ได้ทัน ครับ

ช่วยกันลุ้น ช่วยกันภาวนา
และเร่ิมทำสิ่งที่ควรทำและต้องทำกันเถอะครับ
เดี๋ยวนี้ นาทีนี้เลย

นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
เที่ยงวันจันทร์ 23 มีนาคม 2563


ที่มา Withan Thanawuth






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.