เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



จบลงด้วยดี? ผอ.รพ.กุมภวาปี ยอมรับผิดพลาดน้ำเกลือรั่ว จนมือเด็กไหม้


7 ม.ค. 2563, 20:04



จบลงด้วยดี? ผอ.รพ.กุมภวาปี ยอมรับผิดพลาดน้ำเกลือรั่ว จนมือเด็กไหม้




วันนี้ (7 ม.ค.63) ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานความคืบหน้า จากกรณีแม่โพสต์เตือนเป็นอุทาหรณ์ ภาพลูกสาววัย 10 เดือน ท้องเสีย อาเจียน นอนรักษาที่โรงพยาบาลกุมภวาปี จ.อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 23-26 ธันวาคม 2562 ลูกร้องไห้ตลอด และมีอาการหลังมือบวม โดยสอบถพยาบาลบอกแค่ว่าน้ำเกลือไม่เข้าเส้นเลือด แต่เข้าผิวหนัง ไม่เป็นอันตราย เดี๋ยวแผลก็หาย ทำให้แม่ไม่พอใจ นำลูกออกจากโรงพยาบาลไปรักษาที่อื่น และโพสต์ภาพบาดแผลของลูกสาวลงโซเชียล ทำให้มีคนมาแสดงความเห็นจำนวนมาก ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ล่าสุดทางโรงพยาบาลกุมภวาปีได้ออกแถลงการณ์บนหน้าเว๊ปเพจสรุปความว่า กล่าวถึงกรณีที่น้ำเกลือรั่วจนเกิดภาวะ phlebitis เนื่องจากน้ำเกลือที่ได้มีน้ำตาลผสม จึงทำให้มีความรุนแรงกว่าน้ำเกลือที่ไม่มีน้ำตาลผสม และจากสภาพร่างกายเด็กที่ทานไม่ได้และถ่ายตลอดมา 10 กว่าวัน. ทำให้น้ำเกลือที่รั่วออกมานอกเส้นเลือดมาอยู่บริเวณใต้ผิวหนังมีอาการมากกว่าเด็กทั่วไป เกิดการบวมจองผิวหนัง พอบวมยุบลง จะเกิดถุงน้ำ (bleb) พอถุงน้ำแตกจะหนังเหี่ยว และเป็นแผลเปิดตามมา..

 

วันนี้ นพ.เกรียงศักดิ์ เอกพงษ์ ผอ.โรงพยาบาลกุมภวาปี ออกเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวครั้งแรกว่า โรงพยาบาลกุมภวาปี เป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง มีแพทย์ 25 คน พยาบาล 160 คน ต้องดูแลผู้ป่วยในอำเภอกุมภวาปี ประมาณ 3-4  แสนคน ถือว่ามีบุคลากรทางการแพทย์น้อย ขาดเครื่องมือแพทย์  ห้องผ่าตัดมีไม่เพียงพอ มีผู้ใจบุญมาร่วมบริจาคเครื่องมือแพทย์ตลอด แม้แต่บุคลากรในโรงพยาบาลยังต้องบริจาคให้โรงพยาบาล แต่ทุกคนทำงานด้วยอุดมการณ์ สำหรับเรื่องราวที่เป็นข่าวนั้น “ทุกคนเห็นภาพนี้แล้วรู้สึกเสียใจ ทีมงานเองก็เสียใจ ผมเองก็เสียใจ เป็นเหตุการณ์ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เราจึงมาแสดงความเสียใจ เพราะเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ข้อเท็จจริงเราลงในรายละเอียดเว๊ปเพจโรงพยาบาลไปแล้ว แต่จะไม่รอพูดถึงอีก เล่าแล้วจะซ้ำ หรือผิดเพี้ยน เพราะเรากรองข้อมูลที่เล่าแล้ว อยากให้ดูตรงนั้น ถ้าไม่เข้าใจสามารถสอบถามได้ สรุปว่าแผลที่มือเด็กเกิดจากน้ำเกลือรั่ว เด็กตัวเล็ก แขนเล็ก เกิดอะไรนิดเดียวก็เป็นแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากเป็นแล้ว เรามองเรื่องนี้อย่างไรต่างหากที่สำคัญ”

 

นพ.เกรียงศักดิ์ เปิดเผยต่อว่า จากบทเรียนเหตุการณ์นี้เราได้ประชุมเตรียมทีมงาน ทบทวนอย่างละเอียด เราตั้งคำถามว่า เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เลย เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่จะทบทวนกันไป โดยเฉพาะยิ่งเด็กเล็ก เรายิ่งต้องฟังเสียงพ่อแม่มากขึ้น เมื่อเกิดแล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อเช้าทีมงานเราดูข่าว คุณหมอกมลวรรณ ตามไปดูแลน้องตั้งแต่ก่อนเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าออกข่าวแล้วอาจจะสับสนเรื่องเวลาก็ไม่เป็นไร แต่ทีมเรายืนยันว่าดูแลตั้งแต่ต้น ดูแลแผลว่าจะเกิดการอักเสบไหม้ ซึ่งเราคาดว่าไม่นานคงจะหาย

 

 

 



“วันนี้พ่อแม่ก็เริ่มเข้าใจ เจอเหตุการณ์วันแรกก็คงไม่มีใครทนได้ หน้าที่ของเราก็คือรับฟัง และวันนี้สิ่งที่เราควรทำ ไปดูแล ทำแผล รับผิดชอบ จะว่าอย่างไรเราก็ต้องทำ ส่วนอนาคต ผอ.วางแผนอย่างไร จะดูแลให้ละเอียดขึ้น

 

พญ.กมลวรรณ กิจเจริญปัญญา แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เปิดเผยว่า เด็กมีอาการท้องเสียเรื้อรังมานาน ประมาณ 1 เดือน ได้รับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่ง ก่อนจะมานอนรักษาที่โรงพยาบาลกุมภวาปี เด็กจะมีอาการอ่อนเพลีย ทางโรงพยาบาลจึงใส่สารน้ำที่มีน้ำตาลผสม  ซึ่งเป็นผงปกติที่ใช้ในเด็ก ไม่ว่าเด็กจะเป็นโรคอะไร ถ้ามีการให้น้ำเกลือ จะมีน้ำตาลผสมอยู่ในน้ำเกลือเสมอ เนื่องจากมีการปรับแรงดันน้ำเกลือ ให้เหมาะสมกับเด็ก พอมีการรั่วไหลเกิดขึ้น น้ำตาลที่ผสมอยู่ในน้ำเกลือก็อาจทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ที่ใช้น้ำเกลือปกติคือน้ำเกลือธรรมดา

 

เมื่อน้ำเกลือรั่วจะเกิดอาการบวม เป็นแผล แต่แผลจะหายได้เอง และได้แนะนำคุณแม่ว่า ต้องทำสะอาดแผลป้องกันการติดเชื้อ จากการที่ออกไปดูแล พบว่าแผลสวยดี มีเลือดมาหล่อเลี้ยง ทำให้เป็นสีชมพู ไม่มีหนอง  ไม่มีกลิ่น  เวลาทำแผลเด็กให้ความร่วมมือดีมาก ไม่ร้องไห้ อาจจะขัดขืนบ้างตามประสาเด็ก แผลเริ่มดีขึ้น ส่วนที่บวมยุบแล้ว คาดว่าน่าจะหายได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ น่าจะไม่เป็นแผลเป็น”

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของแม่และน้องออมตัง วัย 10 เดือน ที่บ้านนาแบก ต.กุมภวาปี อ.กุมภวาปี พบว่ามีเจ้าหน้าที่จาก สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.อุดรธานี และ บ้านพักเด็กอุดรธานี มาเยี่ยมพร้อมสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นจากตัวแม่ของเด็ก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ฯ ชี้แจงว่า มาเยี่ยมตัวผู้ปกครองและเด็ก เพื่อขอทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีการโพสข้อความของแม่ลงในเฟสบุ๊ค และมีข่าวออกมา เพื่อเก็บเป็นข้อมูล รายงานต่อไปยังผู้บังคับบัญชา รับทราบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ พมจ.อุดรธานี ที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว

 

ต่อมาเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน พญ.กมลวรรณ กิจเจริญปัญญา แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พร้อมพยาบาล และนิติกรของโรงพยาบาล ได้เดินทางมาที่บ้านของคุณแม่คนดังกล่าว เพื่อมาทำแผลให้กับน้องออมตัง วัย 10 เดือน โดยมีอุปกรณ์ทำแผล ทำแผลให้กับน้องออมตัง ที่มีอาการดีขึ้นมาก ซนเหมือนเด็กปกติ ซึ่งแผลที่เป็นเหมือนรอยไหม้ที่ข้อมือก็มีสีผิวดีขึ้น ยังมีเพียงแผลลที่หลังมือข้างซ้าย ที่ยังมีแผลอยู่ โดยทาง พญ.กมลวรรณฯ ได้ทำแผลปิดผ้าก๊อตไว้ กันไม่ให้แผลติดเชื้อ และเข้าพูดคุยกับแม่น้องออมตัง และครอบครัว

 

โดยทางครอบครัว ได้พูดกับ พญ.กมลวรรณฯ และคณะที่เดินทางมา ถึงเรื่องของชาวบ้านที่เข้ารักษาตัว ขอให้เจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล รับฟังเสียงของคนบ้านนอกบ้าง เพราะว่าทุก ๆ คน ก็คงไม่อยากจะเข้าโรงพยาบาล ไม่ใช่มาคิดว่าคนบ้านนอกไม่มีความรู้ เดี๋ยวนี้ทันสมัยแล้ว และทางครอบครัวช่วงที่รักษาน้อง ยังมีพยาบาลมาถามว่า น้องแขนบวมตัดแขนไปรึยัง คำพูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจคนในครอบครัวมาก ขออย่าให้มีแบบนี้ขึ้นอีก 

 

 


พญ.กมลวรรณฯ ชี้แจงว่า ถึงวันนี้แผลของน้องดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่รอยไหม้ที่ข้อมือ ที่เกิดจากเป็นเหมือนแผลกดทับจากการบวม ที่มีอาการดีขึ้นเป็นสีชมพู เหลือแต่แผลที่หลังมือ ที่มีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าจะใช้เวลารักษาทำแผลอีกระยะหนึ่ง ซึ่งดูจากแผลแล้ว หากน้องโตขึ้นก็จะไม่มีรอยแผลเป็น เพราะน้องยังเด็กอยู่ ส่วนปัญหาต่าง ๆ ที่รับทราบจากทางครอบครัวของเด็กทั้งตัวตายายและของแม่ ทางโรงพยาบาลจะรับนำไปปรับปรุง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก  

   

แม่น้องออมตัง เปิดเผยว่า ที่ตนโพสต์ลงเฟสบุ๊ต ต้องการให้เป็นอุทธาหรณ์กับคนอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ลูกของคนอื่นต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นกับตัวเอง ไมใช่ว่าจะต้องการเงินในการเยียวยา ตนต้องการเพียงว่า ทางโรงพยาบาลจะรับผิดชอบลูกของคนอย่างไรบ้าง ในเรื่องของแผล ที่กลัวว่าลูกจะต้องเป็นแผลเป็นติดตัวไปตลอด ซึ่งที่ผ่านมาหากตนไม่โพสต์เฟสบุ๊ค ก็คงไม่มีใครมาดูแล ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการประจานโรงพยาบาลแต่อย่างไร โพสต์เพื่อเป็นอุธาหรณ์ ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ก็คนอื่นเท่านั้น

 

 

 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.