ครม. เคาะไฟเขียว บี.กริมลงทุนพลังงานสะอาดใน EEC กำลังผลิต 18 MW ระยะสัญญา 25 ปี
23 ส.ค. 2568, 13:03

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 32/2568 ได้มีมติเห็นชอบการอนุญาตประกอบกิจการพลังงานให้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยโครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ และมีกำลังจ่ายไฟสูงสุด 15 เมกะวัตต์ ภายใต้ระยะเวลาสัญญา 25 ปี เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่
มติ ครม. ได้เน้นย้ำให้การดำเนินโครงการพลังงานใน EEC เป็นไปภายใต้ กรอบมาตรการด้านมาตรฐานและความปลอดภัย รวมถึงการจัดทำ Preliminary Code of Practice (CoP) เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ยังเป็นการยกระดับการจัดการพลังงานให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและนักลงทุน
โครงการที่บี.กริมได้รับอนุญาตยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโรงไฟฟ้าในรูปแบบ Hybrid และ Co-Generation ซึ่งมีความสำคัญในการเสริมเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดในระยะยาว ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรพลังงานและลดต้นทุนในระบบโดยรวม
ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีข้อสังเกตว่า ปัจจุบันกิจการไฟฟ้าฯ รับซื้อพลังงานไฟฟ้าจาก กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ซึ่งการที่กิจการไฟฟ้าฯ จะรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัท บี กริม พาวเวอร์ ในครั้งนี้ อาจส่งผลให้ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลง และอาจส่งผลต่อการคาดการณ์ปริมาณการผลิตและสำรองไฟฟ้าในภาพรวมที่เหมาะสมได้
อย่างไรก็ดี โดยที่ปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) ฉบับใหม่ จึงควรให้ สกพอ. แจ้งปริมาณการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัท บี กริม พาวเวอร์ ให้กระทรวงพลังงานทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนดังกล่าวด้วย
“การอนุญาตให้ บี กริม ดำเนินธุรกิจพลังงานใน EEC สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่มีคุณภาพรองรับการลงทุน โดย EEC ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก” นางสาวศศิกานต์ กล่าว