นายกฯ “แพทองธาร” ติดตามโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2
9 มิ.ย. 2568, 16:43

นายกฯ “แพทองธาร” ติดตามโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2 บ้านหนองบัวหิ่ง ผลักดันโซลาร์เซลล์ ลดต้นทุน ก้าวสู่การบริหารทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
วันนี้ (9 มิถุนายน 2568) เวลา 12.00 น. ณ โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2 บ้านหนองบัวหิ่ง ตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วม
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ OTOP ของอำเภอห้วยกระเจา พร้อมกับเยี่ยมชมนิทรรศการความเป็นมา ปัญหาและอุปสรรคในพื้นที่ จากนั้น นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานโครงการน้ำบาดาลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งปัจจุบันโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะที่ 2 บ้านหนองบัวหิ่ง สร้างประโยชน์แก่ประชาชน 15 หมู่บ้าน ครอบคลุม ประมาณ 3,000 ครัวเรือน หรือราว 10,000 คน โดยภาพรวมการบริหารจัดการดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเสนอบางประการที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม ได้แก่ 1.ต้นทุนค่าไฟฟ้าในการสูบน้ำ ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นภาระต่อการดำเนินงานในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางลดค่าใช้จ่ายผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในบางส่วน 2.ความเสี่ยงจากการลดระดับน้ำบาดาล หากไม่มีการบริหารจัดการการใช้น้ำอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้ระดับน้ำบาดาลลดลงในอนาคต เพื่อรองรับปัญหาเหล่านี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เตรียมแนวทางเสริมความยั่งยืน โดยจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มเติม จำนวน 4 ชุด รวมถึงติดตั้งระบบสูบน้ำบาดาลเพิ่มอีก 4 จุด และดำเนินการสำรวจพื้นที่เพื่อรองรับการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เนื่องจากพื้นที่นี้มีแหล่งน้ำบาดาลจำกัดและยากต่อการเจาะหาแหล่งน้ำใหม่
ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับประชาชนว่า การลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมชมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ “น้ำ” ที่เป็นปัจจัยสำคัญและเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชน โดยรัฐบาลเล็งเห็นว่า “น้ำ” ไม่เพียงเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนและประเทศ ดังนั้น การพัฒนาแหล่งน้ำ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องขอชื่นชม การดำเนินการโครงการจัดหาน้ำ เนื่องจากน้ำบาดาลที่พบในพื้นที่ดังกล่าวมีคุณภาพ จนชาวบ้านเรียกว่าเป็น “น้ำเทวดา” ถือเป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ทั้งนี้ แหล่งน้ำดังกล่าว ตั้งอยู่บนที่ดินของเอกชน ซึ่งเจ้าของที่ดิน ได้แสดงน้ำใจโดยการขายที่ดินให้รัฐในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ภาครัฐสามารถดำเนินการพัฒนาแหล่งน้ำให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้างได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อส่วนรวม และขอชื่นชมในความเสียสละและจิตสาธารณะของเจ้าของที่ดินและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลตระหนักดีว่า การดำเนินงานให้มีความยั่งยืน จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องต้นทุนด้านพลังงานควบคู่กัน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าสำหรับการสูบน้ำ มีแนวโน้มสูงขึ้นและเป็นภาระของชุมชนในระยะยาว โดยได้อนุมัติงบประมาณผ่านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของชุมชน และเสริมสร้างความยั่งยืนของโครงการน้ำบาดาลในพื้นที่ และคาดว่าระบบพลังงานทางเลือกดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการได้ในอนาคตอันใกล้นี้
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นน้ำ อาหาร ยารักษาโรค หรือที่อยู่อาศัย และจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงสิ่งจำเป็นเหล่านี้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ” นายกรัฐมนตรี ย้ำ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ในพื้นที่และเยี่ยมชมโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ภายหลังภารกิจเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์กลับกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดงาน OTOP Midyear 2025 ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป