สำนักข่าวอิรวดีรายงานอ้างเจ้าหน้าที่ของเมียนมาว่า นับแต่มีการทำรัฐประหารในเมียนมาในปี 2564 แรงงานชาวเมียนมาจำนวนมากได้ข้ามชายแดนเข้ามายังประเทศไทยเนื่องจากสงครามกลางเมืองในประเทศ แม้ว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนในเมียนมา เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงงานจำนวนมากรู้สึกคุ้นชินกับการเข้ามาปักหลักทำงานหาเงินอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

จนถึงบัดนี้ การสู้รบยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงในหลายท้องที่ของประเทศเริ่มแย่ลง ทำให้เมียนมาเจอกับวิกฤตหลายด้านพร้อมๆกัน ส่งผลให้แรงงานชาวเมียนมาเดินทางข้ามแดนเข้ามายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าประเด็นปัญหาเรื่องความมั่นคงและการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อยเกิดขึ้นในหลายท้องที่ แต่ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจของเมียนมาก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามเช่นกัน แต่ผลสรุปสำคัญคือ เศรษฐกิจเมียนมามีแนวโน้มแย่จนถึงขั้นที่คณะรัฐประหารจัดทำแผนรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจเมียนมา

เช่น เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารกลางแห่งเมียนมาประกาศผ่อนคลายนโยบายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ให้ลอยค่าเงินจ๊าดตามอัตราแลกเปลี่ยนของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรานับแต่กลางเดือนธ.ค.2566 หวังจูงใจให้มีการนำเงินตราต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินจ๊าด ให้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจเมียนมา แต่ข้อเสียคือ เงินจ๊าด อ่อนค่าร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศมีราคาแพงขึ้น กระทั่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่สามารถจะซื้อสินค้าต่างๆหามาใช้สอยได้

ปัญหาอื่นๆเช่น ภาคเอกชนของเมียนมามีผลิตภาพแรงงานในอัตราที่ต่ำ โดยโรงงานอุตสาหกรรมเมียนมาผลิตสินค้าที่ร้อยละ 56 ของกำลังการผลิตจากข้อมูลของทางการเมียนมาในเดือนก.ย.2566 ขณะที่เงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ร้อยละ 29 ตามรายงานทิศทางเศรษฐกิจเมียนมาของธนาคารโลกในเดือนธ.ค.2566

นอกจากนั้น การค้าชายตามแนวชายแดนลดลงร้อยละ 40 ทั้งตามแนวชายแดนประเทศไทยและประเทศจีนเนื่องจากการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยนับแต่ฝ่ายต่อต้านร่วมมือกับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยบุกเข้าตียึดค่ายทหารในรัฐฉานทางภาคเหนือของเมียนมาปลายเดือนต.ค.2566

 จากภาพรวมของภาวะไร้ความมั่นคงทั้งในเรื่องความมั่นคงของประเทศและเรื่องเศรษฐกิจ ชาวเมียนมาหลายคนมองว่า เมียนมา มีอนาคตที่ไม่สดใสเท่าที่ควร ทำให้แรงงานหลายคนตัดสินใจข้ามชายแดนเข้ามาทำงานในประเทศไทย